การแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 มองประหนึ่งปัญหาโลกแตก หาความพอดีไม่ได้ถ้าจูนแนวความคิดที่เห็นต่าง สู่จุดเดียวกันทุกอย่างก็ลงตัวเดินหน้าแก้ไขได้ แต่ที่เป็นปัญหาเพราะ
- บางท่านมองว่าควรใช้ไปสัก 1 ปี หากมีจุดบกพร่องค่อยแก้ไข ท่านที่พูดเช่นนี้พูดทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามีข้อบกพร่อง แต่ท่านอยากอยู่ในตำแหน่งนาน ๆ จริงมั้ยครับ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องแก้มาตราที่มาของสว. ด้วย ท่านกลัวว่าถ้า สว.มาจากการเลือกตั้งท่านอาจไม่ได้เป็นสว. ก็เป็นได้
- พรรคการเมืองบางพรรคคิดว่าขณะนี้พรรคได้เปรียบ จึงสรรหาวิธีการเตะถ่วงไปให้นานที่สุด หากพรรคอื่นมีอันเป็นไปต้องยุบพรรค ก็เตรียมช้อนสส.แพแตก หวังพลิกกลับมาเป็นรัฐบาล แต่คิดว่าคงไม่ง่ายเกินไปหรอกนะ กรวุฒิ เคยดักคอไว้แล้วห้ามรับสส. เหล่านี้เด็ดขาด ถ้ารับก็กลืนน้ำลายตนเอง ระวังจะถูกตราหน้า “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” เพราะพรรคนี้เคยตราหน้าพรรคอื่นไว้ว่า “ถ้าสส.ของพรรคย้ายไปอยู่พรรคอื่น ก็จะโจมตีทันทีว่าสส.ถูกดูดไปบ้างละ สส.ถูกซื้อตัวไปบ้างล่ะ” และอย่าอ้างว่า “ถ้าย้ายมาอยู่พรรคตนเอง คือ ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน” จะเสียชื่อพรรคที่ได้รับการกล่าวขานว่า “เป็นสถาบันการเมืองที่เก่าแก่ที่สุด” หมดนะครับ
- ถ้าจำไม่ผิดตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก จนถึงฉบับปัจจุบัน เราจะมีรัฐบาลผสมเกือบทั้งหมด ยกเว้นฉบับปี 40 ที่มีรัฐบาลพรรคเดียว คือ พรรคไทยรักไทย สมัยอดีตนายกทักษิณเป็นรัฐบาลสมัยที่ 2 การที่มีรัฐบาลผสมทำให้การบริหารไม่ราบรื่นเกิดการต่อรองทางการเมือง ต่อรองผลประโยชน์สูง จนทำให้หัวหน้าพรรคการเมืองบางพรรคกล่าวว่า “รัฐบาลผสมทำให้ไม่มีเสถียรภาพ” พอมีรัฐบาลพรรคเดียว หัวหน้าพรรคการเมืองบางพรรคก็กล่าวว่า “เป็นเผด็จการทางรัฐสภา” ก็ไม่ทราบว่าหัวหน้าพรรคนั้นต้องการรัฐบาลแบบไหนกันแน่ สรุปให้ก็ได้พรรคของท่านเท่านั้นเป็นรัฐบาล จึงมีความชอบธรรม พรรคอื่นไม่มีความชอบธรรมใช่ไหมครับ หรือใครมีความเห็นต่าง เชิญแสดงความคิดเห็นได้ครับ แต่กรวุฒิคิดว่า เหตุผลที่รัฐบาลต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะต้องการให้ได้รัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดในการนำมาบริหารประเทศ ส่วนจะเพื่อพรรค เพื่อพวกพ้องคงไม่ทันการเพราะขบวนการยุบพรรคตั้งธงไว้แล้วจริงมั้ยครับท่าน