การแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 มองประหนึ่งปัญหาโลกแตก หาความพอดีไม่ได้ถ้าจูนแนวความคิดที่เห็นต่าง สู่จุดเดียวกันทุกอย่างก็ลงตัวเดินหน้าแก้ไขได้ แต่ที่เป็นปัญหาเพราะ


  1. บางท่านมองว่าควรใช้ไปสัก 1 ปี หากมีจุดบกพร่องค่อยแก้ไข ท่านที่พูดเช่นนี้พูดทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามีข้อบกพร่อง แต่ท่านอยากอยู่ในตำแหน่งนาน ๆ จริงมั้ยครับ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องแก้มาตราที่มาของสว. ด้วย ท่านกลัวว่าถ้า สว.มาจากการเลือกตั้งท่านอาจไม่ได้เป็นสว. ก็เป็นได้


  2. พรรคการเมืองบางพรรคคิดว่าขณะนี้พรรคได้เปรียบ จึงสรรหาวิธีการเตะถ่วงไปให้นานที่สุด หากพรรคอื่นมีอันเป็นไปต้องยุบพรรค ก็เตรียมช้อนสส.แพแตก หวังพลิกกลับมาเป็นรัฐบาล แต่คิดว่าคงไม่ง่ายเกินไปหรอกนะ กรวุฒิ เคยดักคอไว้แล้วห้ามรับสส. เหล่านี้เด็ดขาด ถ้ารับก็กลืนน้ำลายตนเอง ระวังจะถูกตราหน้า “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” เพราะพรรคนี้เคยตราหน้าพรรคอื่นไว้ว่า “ถ้าสส.ของพรรคย้ายไปอยู่พรรคอื่น ก็จะโจมตีทันทีว่าสส.ถูกดูดไปบ้างละ สส.ถูกซื้อตัวไปบ้างล่ะ” และอย่าอ้างว่า “ถ้าย้ายมาอยู่พรรคตนเอง คือ ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน” จะเสียชื่อพรรคที่ได้รับการกล่าวขานว่า “เป็นสถาบันการเมืองที่เก่าแก่ที่สุด” หมดนะครับ


  3. ถ้าจำไม่ผิดตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก จนถึงฉบับปัจจุบัน เราจะมีรัฐบาลผสมเกือบทั้งหมด ยกเว้นฉบับปี 40 ที่มีรัฐบาลพรรคเดียว คือ พรรคไทยรักไทย สมัยอดีตนายกทักษิณเป็นรัฐบาลสมัยที่ 2 การที่มีรัฐบาลผสมทำให้การบริหารไม่ราบรื่นเกิดการต่อรองทางการเมือง ต่อรองผลประโยชน์สูง จนทำให้หัวหน้าพรรคการเมืองบางพรรคกล่าวว่า “รัฐบาลผสมทำให้ไม่มีเสถียรภาพ” พอมีรัฐบาลพรรคเดียว หัวหน้าพรรคการเมืองบางพรรคก็กล่าวว่า “เป็นเผด็จการทางรัฐสภา” ก็ไม่ทราบว่าหัวหน้าพรรคนั้นต้องการรัฐบาลแบบไหนกันแน่ สรุปให้ก็ได้พรรคของท่านเท่านั้นเป็นรัฐบาล จึงมีความชอบธรรม พรรคอื่นไม่มีความชอบธรรมใช่ไหมครับ หรือใครมีความเห็นต่าง เชิญแสดงความคิดเห็นได้ครับ แต่กรวุฒิคิดว่า เหตุผลที่รัฐบาลต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะต้องการให้ได้รัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดในการนำมาบริหารประเทศ ส่วนจะเพื่อพรรค เพื่อพวกพ้องคงไม่ทันการเพราะขบวนการยุบพรรคตั้งธงไว้แล้วจริงมั้ยครับท่าน

0 ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก: ส่งความคิดเห็น (Atom)